รวมวิธีเช็กว่ากล้องวงจรปิดของคุณปลอดภัยจริงหรือไม่ (เช็กเองได้ใน 5 นาที )

กล้องวงจรปิด ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือบันทึกภาพอีกต่อไป มันคือ ประตูสู่ข้อมูลส่วนตัว ที่ถ้าเปิดไว้โดยไม่รู้ตัว อาจกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงชีวิตคุณได้ง่ายกว่าที่คิด!
ปัจจุบันกล้องวงจรปิดแทบทุกแบรนด์ ต่างก็มีระบบดูภาพออนไลน์ผ่านแอปบนมือถือ เพื่อให้ใช้งานสะดวก แต่ยิ่ง เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต มากเท่าไหร่ ความเสี่ยงถูกโจมตีก็ยิ่งสูงเท่านั้น
ดังนั้นก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ กล้องโดนแฮก แบบไม่รู้ตัว
มาลอง เช็กความปลอดภัย ของกล้องคุณภายใน 5 นาที ด้วยวิธีง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้กันดีกว่า
ขั้นที่ 1: ตรวจสอบชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเริ่มต้น (Default Login)
หนึ่งในสาเหตุหลักที่กล้องถูกแฮกง่ายที่สุด คือ ยังใช้รหัสผ่านเริ่มต้นจากโรงงานอยู่
หลายคนติดตั้งเสร็จแล้วก็ใช้ admin / 123456 ต่อไปโดยไม่ได้เปลี่ยน
วิธีตรวจสอบ:
- เข้าหน้าแอปหรือเว็บของกล้องวงจรปิด
- ไปที่เมนู บัญชีผู้ใช้ หรือ Security
- ถ้ายังเห็นชื่อ admin หรือรหัสสั้นๆ ที่ไม่มีอักษรพิเศษ เปลี่ยนทันที
เคล็ดลับ: รหัสผ่านที่ปลอดภัยควรมีอย่างน้อย 10 ตัว ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์ เช่น MyCCTV!2025
ขั้นที่ 2: ตรวจสอบว่าใครกำลังเชื่อมต่อกับกล้องคุณอยู่
กล้องวงจรปิดสมัยใหม่จะบันทึก อุปกรณ์ที่เข้าสู่ระบบล่าสุด
คุณสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ ว่ามีการล็อกอินจากอุปกรณ์หรือประเทศแปลกๆ หรือไม่
วิธีตรวจสอบ:
- เปิดแอปของกล้อง ไปที่ Device Management หรือ Login History
- หากเจอชื่ออุปกรณ์ที่ไม่คุ้น เช่น Android-unknown / Windows 10 / iPhone-XR ทั้งที่ไม่มีใครใช้ ให้รีบออกจากระบบทุกเครื่อง (Logout All Devices)
บางยี่ห้อ เช่น EZVIZ / IMOU / Tapo / Reolink จะมีฟังก์ชัน Force Logout All Devices เพื่อรีเซ็ตการเชื่อมต่อทั้งหมดในคลิกเดียว
ขั้นที่ 3: ส่องเครือข่าย Wi-Fi ที่เชื่อมต่อกล้องอยู่
แม้กล้องจะปลอดภัย แต่ถ้า Wi-Fi ไม่ปลอดภัย ก็เท่ากับเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้ามาได้เหมือนกัน
วิธีเช็กง่ายๆ:
- เข้า Router ของคุณ (โดยพิมพ์ IP เช่น 192.168.1.1 บนเบราว์เซอร์)
- ดูรายชื่ออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ (Connected Devices)
- ถ้ามีอุปกรณ์ที่ไม่รู้จัก เช่น ชื่อแปลกๆ หรือ MAC Address ไม่ตรง ให้บล็อกทันที
คำแนะนำ: ใช้รหัส Wi-Fi แบบ WPA2 หรือ WPA3 เท่านั้น และควรตั้งรหัสใหม่ทุก 36 เดือน
ขั้นที่ 4: ตรวจสอบการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของกล้อง
หลายคนไม่รู้ว่า เฟิร์มแวร์ (Firmware) คือหัวใจสำคัญที่ช่วยอุดช่องโหว่ความปลอดภัย
หากไม่ได้อัปเดตเลย กล้องของคุณอาจมีช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เข้าถึงได้ง่ายมาก
วิธีเช็ก:
- เปิดแอป ไปที่ Device Settings Firmware Version
- ถ้ามีคำว่า Update Available หรือ New version ready ให้กดอัปเดตทันที
️ ข้อควรระวัง: อัปเดตเฉพาะผ่านแอปหรือเว็บไซต์ทางการเท่านั้น อย่าดาวน์โหลดไฟล์อัปเดตจากเว็บอื่น
ขั้นที่ 5: ตรวจสอบการเข้ารหัส (Encryption)
กล้องวงจรปิดบางรุ่น (โดยเฉพาะรุ่นราคาถูก) ไม่มีระบบเข้ารหัสข้อมูล
ซึ่งหมายความว่า ภาพหรือเสียงที่ส่งจากกล้องอาจถูกดักดูระหว่างทางได้
วิธีเช็ก:
- เปิดคู่มือหรือหน้าเว็บของกล้อง แล้วดูว่าระบุว่า รองรับ HTTPS / AES Encryption / SSL หรือไม่
- หากไม่มีระบบเหล่านี้ ให้ปิดการเข้าถึงจากภายนอก (Remote Access) ทันที
กล้องที่มีระบบ End-to-End Encryption (E2EE) จะปลอดภัยที่สุด เพราะแม้แต่ผู้ให้บริการก็ไม่สามารถดูภาพของคุณได้
ขั้นที่ 6: ทดสอบระบบแจ้งเตือน (Notification Log)
ลองเปิดดูประวัติการแจ้งเตือนย้อนหลังในแอป
หากมี การเข้าดูภาพ หรือ Motion Alert เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่มีใครใช้งาน นั่นอาจเป็นสัญญาณว่ามีคนอื่นเข้ามาดูกล้องของคุณ
เคล็ดลับเพิ่มเติม: เปิดระบบแจ้งเตือนทุกครั้งเมื่อมีการล็อกอินเข้าแอปกล้อง เพื่อให้รู้ตัวทันที
ขั้นที่ 7: ตรวจสอบคลาวด์หรือพื้นที่บันทึก (Cloud Storage)
หากคุณใช้บริการคลาวด์ เช่น EZVIZ CloudPlay, IMOU Cloud หรือ Google Home
ลองเข้าไปตรวจสอบว่าไฟล์วิดีโอหรือภาพตรงกับเวลาที่คุณใช้งานจริงไหม
ถ้ามีไฟล์แปลกๆ หรือชื่อไม่คุ้น ให้ลบออกและเปลี่ยนรหัสผ่านทันที
สัญญาณบ่งชี้ว่าคุณควรรีเซ็ตกล้องทันที
- กล้องหันหรือซูมเองโดยไม่ได้สั่ง
- แอปกล้องโหลดช้า หรือเด้งออกบ่อย
- อินเทอร์เน็ตบ้านช้าลงผิดปกติ
- ไฟ LED กระพริบแม้ไม่มีการใช้งาน
หากพบสัญญาณเหล่านี้อย่างน้อย 1 ข้อ ให้รีเซ็ตกล้องเป็นค่าเริ่มต้น (Factory Reset) และเปลี่ยนรหัสผ่านใหม่ทั้งหมด
สรุป: ใช้เวลาเพียง 5 นาที ก็ช่วยให้กล้องปลอดภัยขึ้นหลายเท่า
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นช่างเทคนิคหรือผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์
แค่สละเวลา 5 นาทีในการ
- ตรวจรหัสผ่าน
- อัปเดตเฟิร์มแวร์
- ตรวจอุปกรณ์ที่ล็อกอิน
- เช็กระบบเข้ารหัส
เพียงเท่านี้ก็สามารถลดโอกาสถูกแฮกได้กว่า 90%
เพราะสุดท้าย ความปลอดภัยของบ้านคุณ ขึ้นอยู่กับการไม่ประมาทแม้แต่วินาทีเดียว


