วิธีป้องกันกล้องวงจรปิดไม่ให้ถูกแฮก ก่อนภาพหลุดสู่สาธารณะ

" รู้ไหมว่าภาพจากกล้องวงจรปิดที่เราติดไว้เพื่อความปลอดภัย อาจกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์แอบมองเรากลับได้? "
ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้หมด กล้องวงจรปิด (CCTV) ก็ไม่เว้น!
เพราะหลายคนติดตั้งกล้องอัจฉริยะที่เชื่อมต่อ Wi-Fi และดูภาพผ่านมือถือได้แบบเรียลไทม์ แต่สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่ป้องกันไม่ให้ กล้องวงจรปิดถูกแฮก แล้วเข้าถึงภาพในบ้านเราได้โดยไม่ได้รับอนุญาต
บทความนี้จะพาคุณไปเข้าใจวิธี ป้องกันกล้องวงจรปิดไม่ให้ถูกแฮก แบบง่ายๆ แต่ได้ผลจริง
อ่านจบแล้วคุณจะรู้ว่า ความปลอดภัย ไม่ใช่แค่เรื่องของฮาร์ดแวร์ แต่มันเริ่มจากพฤติกรรมของผู้ใช้ด้วย
ทำไมกล้องวงจรปิดถึงถูกแฮกได้ง่ายกว่าที่คิด?
หลายคนอาจคิดว่า กล้องของเราคงไม่โดนหรอก
แต่รู้ไหมครับว่า... เว็บไซต์ต่างประเทศบางแห่งเคยเผยแพร่ กล้องวงจรปิดที่เปิดพอร์ตไว้โดยไม่ได้ตั้งรหัสผ่าน กว่าหลายหมื่นเครื่องทั่วโลก!
สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้กล้องวงจรปิดถูกแฮก ได้แก่
- ใช้รหัสผ่านเริ่มต้นจากโรงงาน (Default Password) เช่น admin / 12345
- ไม่ได้อัปเดตเฟิร์มแวร์หรือแอปดูภาพ ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
- เชื่อมต่อ Wi-Fi ที่ไม่มีระบบเข้ารหัส WPA2 หรือ WPA3
- ตั้งค่าให้ดูภาพผ่านระบบคลาวด์แต่ไม่เปิด Two-Factor Authentication (2FA)
- แชร์ลิงก์ภาพกล้องให้คนอื่นโดยไม่ตั้งรหัสผ่าน
ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ ช่องโหว่ ที่แฮกเกอร์ใช้เพื่อเข้ามาในระบบกล้องได้ง่ายๆ
วิธีป้องกันกล้องวงจรปิดไม่ให้ถูกแฮก (ฉบับเข้าใจง่าย)
- เปลี่ยนรหัสผ่านทันทีหลังติดตั้ง
อย่าใช้รหัสผ่านที่ติดมากับกล้องเด็ดขาด!
ควรตั้งรหัสผ่านที่เดายาก เช่น
มีทั้งตัวอักษรใหญ่เล็ก + ตัวเลข + สัญลักษณ์
ยาวอย่างน้อย 10 ตัวอักษร
และไม่ควรใช้รหัสเดียวกันกับ Wi-Fi หรือโซเชียลมีเดียอื่นๆ
Tip: ลองใช้ Password Manager เพื่อช่วยสร้างและจำรหัสที่ปลอดภัยได้ง่าย - อัปเดตเฟิร์มแวร์และแอปพลิเคชันเป็นประจำ
ผู้ผลิตกล้องหลายแบรนด์ เช่น Hikvision, Dahua, EZVIZ, IMOU, TP-Link มักปล่อยอัปเดตเพื่อปิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
ดังนั้น อย่าละเลยการอัปเดต
เพราะบางครั้งเวอร์ชันเก่ามีช่องทางให้แฮกเกอร์เจาะระบบได้โดยง่าย - แยกเครือข่าย Wi-Fi ของกล้องออกจากอุปกรณ์อื่น
หากเป็นไปได้ ควรตั้ง Network แยกเฉพาะสำหรับกล้องวงจรปิด (CCTV Network)
เช่น ใช้เราเตอร์ Dual Band หรือ Mesh Router ที่ตั้ง SSID แยกได้ เพื่อไม่ให้กล้องอยู่ในเครือข่ายเดียวกับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน - เปิดระบบ Two-Factor Authentication (2FA)
แอปดูภาพกล้องหลายตัว เช่น eWeLink, IMOU Life, EZVIZ CloudPlay มีระบบ 2FA ให้เปิดใช้งานฟรี
ระบบนี้ช่วยเพิ่มชั้นความปลอดภัยอีกระดับ ถ้ามีคนพยายามล็อกอินจากอุปกรณ์ใหม่ ระบบจะส่งรหัส OTP มายืนยันก่อนเสมอ - ปิด Remote Access ถ้าไม่จำเป็น
กล้องบางรุ่นเปิดฟังก์ชันเข้าดูภาพจากภายนอกไว้โดยอัตโนมัติ
หากไม่จำเป็นต้องดูนอกบ้าน ควรปิดฟังก์ชันนี้ไว้
หรือเปิดเฉพาะเวลาที่ต้องการใช้งานเท่านั้น เพื่อจำกัดโอกาสที่แฮกเกอร์จะเข้าถึง - หลีกเลี่ยงการแชร์ลิงก์ภาพกล้องในโซเชียล
แม้จะเป็น ลิงก์ชั่วคราว ก็ตาม
เพราะเมื่อแชร์ออกไป คุณไม่สามารถควบคุมได้ว่าลิงก์จะถูกส่งต่อหรือคัดลอกไปถึงใคร
ควรใช้ระบบ Invite User ที่มีในแอปแทน ซึ่งปลอดภัยและจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงได้ดีกว่า - ใช้ Firewall หรือ VPN สำหรับกล้อง
ถ้าเป็นระบบกล้องที่เชื่อมต่อผ่าน NVR หรือ NAS แนะนำให้ตั้ง Firewall หรือ VPN เพื่อเข้าระบบแบบเข้ารหัส (Encrypted Access)
ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลภาพและเสียงถูกดักระหว่างทาง
สัญญาณเตือน กล้องอาจถูกแฮก ที่ควรระวัง
- กล้องหันมุมเอง ทั้งที่ไม่ได้สั่ง
- ไฟสถานะกระพริบแปลกๆ หรือกล้องเชื่อมต่อไม่ได้
- พบการล็อกอินจากอุปกรณ์ที่ไม่รู้จัก
- อินเทอร์เน็ตช้าผิดปกติเมื่อเปิดระบบกล้อง
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีเซ็ตระบบทันที และเปลี่ยนรหัสผ่านใหม่ทั้งหมด
สรุป: ปลอดภัยจากโจร แต่อย่าลืมปลอดภัยจาก แฮกเกอร์
กล้องวงจรปิดคือด่านแรกของความปลอดภัยในบ้าน แต่ก็อาจกลายเป็น หน้าต่างให้คนอื่นแอบมองเรา ได้เหมือนกัน
ดังนั้นการ ป้องกันกล้องวงจรปิดไม่ให้ถูกแฮก จึงเป็นเรื่องที่ควรทำตั้งแต่วันแรกที่ติดตั้ง
เริ่มง่ายๆ จาก
- เปลี่ยนรหัสผ่าน
- อัปเดตซอฟต์แวร์
- เปิด 2FA
- และตรวจสอบระบบอยู่เสมอ
เพราะ ความปลอดภัยที่แท้จริง ไม่ได้อยู่แค่ภาพชัดระดับ 4K
แต่อยู่ที่ ใครดูภาพนั้นได้บ้าง ต่างหากครับ


